| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
- ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่กลับไม่ค่อยชอบใช้กัน บ้างก็อ้างว่า ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ถุงยางอนามัยนั้นทำมาจากยางธรรมชาติแท้ๆ อย่าว่าแต่พกถุงยางอนามัยเลย แม้แต่จะซื้อถุงยางอนามัยก็ยังอาย ก็ไม่รู้จะไปอายอะไรกัน พึงระลึกเสมอว่า "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยนั้นคือคนที่มีความรับผิดชอบ" รับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อคู่ของตัว เพราะถุงยางอนามัยนั้นนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ป้องกันตัวเองที่จะไม่รับเชื้อและป้องกันไม่แพร่เชื้อไปยังคู่ของตัวเอง ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละ ประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก มีการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง10ปีที่ผ่านมา แล้วบ้านเราล่ะ แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่เจ้าเอดส์ระบาดนี่ คนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะไม่ใช้ได้ยังไงละครับ ถ้าไม่ใช้หญิงบริการจะไม่ยอมให้อึ๊บโดยเด็ดขาด อยากอึ๊บก็เลยจำต้องใช้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ว่างั้นเถอะ เราคงต้องเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่แล้วครับ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ชนิดทูอินวัน อย่าลืมนะครับ "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ" ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ คุณทราบหรือไม่ว่าถุงยางอนามัยเนียะ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์นะครับ และเป็นเครื่องมือแพทย์อันเดียวที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์แต่ก็สามารถใช้ ได้ เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535 ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนิดของถุงยางอนามัย ถุงยางอนมัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกนี้มี 3 ชนิดตามวัสดุที่ใช้ 1. ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียก caecum มีใช้ในอเมริกา ราว ร้อยละ 5 เขาว่าใช้แล้วรู้สึกสบายยามสวมใส่ ไม่รัดรูป ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ และความชุ่มชื่นจากสารคัดหลั่งสามารถซึมผ่านเนื้อเยื่อได้ แต่เนื่องจากผิวของวัสดุมีรูพรุนเล็กๆที่ขวางได้เฉพาะตัวอสุจิเท่านั้น จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ skin condom มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร และไม่สามารถยืดตัวได้ (แต่มีความอ่อนนุ่ม) จึงสวมใส่แบบหลวมๆ ไม่รัดแนบแน่นแบบที่ทำจากยางธรรมชาติ ขนาดความกว้างเมื่อวางแบนราบ มีตั้งแต่ 62 มิลลิเมตร ถุง 80 มิลลิเมตรถุงยางชนิดนี้ไม่มีการผลิตจำหน่ายในเมืองไทย ไม่ต้องถามหากันนะครับ (อ้อ..ราคาแพงมากด้วยครับ) 2. ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom) จากวัสดุที่ทำนี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถุงยางอนามัย" ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นชื่อนี้ ชอบครับ ถุงยางที่ถูกสุขอนามัย สะอาด ตรงและเหมาะสมจริงๆ แต่คนไทยไม่ชอบยาวๆ (ทีอย่างอื่นละก็เรียกร้องจะเอาแบบยาวๆ..เนาะ) กลับเรียกไปต่างๆนานา ปลอก นวม เสื้อ เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย ฯลฯ ฝรั่งก็มีชื่อเรียก นอกจาก Condom แล้ว ก็เรียก sheath, prophylactic, French letter, English cape เป็นต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาตินี้มีราคาถูกกว่า บางกว่า ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ จึงมีขนาดความกว้างน้อยกว่า การสวมใส่ก็กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิดและป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย 3. ชนิดที่ทำจากPolyurethane (ถุงยางพล๊าสติก) ปัจจุบันได้มีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane เพราะถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติก็มีข้อด้อย เช่นแพ้ รั่วได้ ใช้สารหล่อลื่นบางชนิดไม่ได้ กลิ่นไม่ค่อยชวนดมเรียกถุงยางอนามัยชนิดนี้ว่า ถุงยางพลาสติก (plastic condom) แต่เขาว่าถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ คงทนกว่าแบบยางธรรมชาติ สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้ แบบของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยเมื่อเป็นสินค้าก็ย่อมมีการตลาด จึงต้องมีแบบต่างๆ ให้ลูกค้าเลือกมากมาย ตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งทำเพื่อเป็นจุดขายเพื่อการโฆษณาด้วย ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะ สำคัญ 6 เรื่องคือ
ขนาดของถุงยางอนามัย คุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศของกระทรวงสาธารณ สุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง คือตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร และกำหนดความยาวของถุงยางวัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดไม่รวมส่วนที่เป็นติ่ง หรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990 สำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือขนาดใหญ่กับขนาดยักษ์ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เล็กๆ) ขนาดใหญ่ (ความจริงมันก็ขนาดเล็กนั่นแหละ) หรือขนาด 49 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น วัดจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่ง 49 มิลลิเมตร มีขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อวางแบนราบ เท่ากับ 52 มิลลิเมตร ความยาวเท่ากับ 180 มิลลิเมตร ความหนาของถุงยางอนามัย อย่างที่พูดไว้ข้างต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์หนาตั้ง 0.15 มิลลิเมตร แต่ สำหรับถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติจะบางกว่านั้นมาก เพราะเหนียวและยืดได้มากกว่า ของญี่ปุ่นทำได้บางที่สุดในโลก คือ บางแค่ 0.02 มิลลิเมตร ส่วนของอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ ไม่น้อยกว่า 0.03 มิลลิเมตร ของอังกฤษเจมส์บอนด์ กำหนดไว้หนาไม่เกิน 0.04 มิลลิเมตร ขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ระหว่าง 0.05 - 0.08 มิลลิเมตร แล้วของพี่ไทยล่ะ… ไม่มีครับ ไม่มีกำหนดความหนาไว้ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 แต่เท่าที่เคยมีการกำหนดมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ประกาศในการจัดซื้อถุง ยางอนามัยไว้ใช้ในโครงการวางแผนครอบครัว เมื่อปี 2526 ได้กำหนดความหนา ไม่มากกว่า 0.06 มิลลิเมตร เอาไว้ ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
0 เท่ากับ ไม่ได้ผลหรือน้อยกว่า 10 % ++ เท่ากับ ป้องกันได้ 50-90% +++ เท่ากับ ป้องกันได้ มากกว่า 90 % สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ท้องได้ไง ก็ใช้ถุงยางแล้ว ..อ้าวทำไมปัสสาวะถึงแสบๆ ก็ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว การล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ย่อมทำมาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวงที่หลายๆคนเคยประสพมาแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอ 2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้(คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด(หกปากถ้ำ) 3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว 4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดี ก็ยังแตกได้ครับ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะหนักกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า ครึ่งหนึ่งจะแตกตรงส่วนปลายปิด หนึ่งในสี่แตกตรงตัวถุง และอีกหนึ่งในสี่ แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึงสองในสามของการแตก นี่ซิ ซวยชนิดไม่บอก แล้วมันแตกได้ยังไง 1. ใช้ไม่ถูกวิธี 2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง 3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวม ทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที) อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี 4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร 5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพมันแย่ ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าตังนี่ซิ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้วครับ แล้วที่โรงงานผลิตออกมาห่วยๆ มีไม๊…ก็มีครับ แต่ก็น้อยยยยมากกกกก เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน สารฆ่าเชื้ออสุจิ ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อ มาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที โดย....... นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ [ ที่มา... http://www.clinicrak.com ] รอบรู้เรื่องถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัย (Condom) เป็น ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น โดยขบวนการจุ่มแบบพิมพ์ ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติ เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 ซึ่งผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาต จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และถุงยางอนามัยจะต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำหนดไว้ ขบวน การผลิตถุงยางอนามัย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ การผสม การขึ้นรูป การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป การตรวจสอบหารอยรั่วด้วยไฟฟ้า การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุ โดยมีขั้นตอนสำคัญคือการควบคุมคุณภาพ ถุงยางอนามัย ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด มีการตรวจสอบถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิตหรือนำเข้าจะต้องถูกสุ่มตัวอย่าง เพื่อส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจ วิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด หากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ ถ้าคุณภาพไม่เข้ามาตรฐาน จะต้องถูกทำลาย หรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันที การเลือกซื้อ การเลือกซื้อถุงยางอนามัยทุกครั้ง จะต้องคำนึงถึง คือ 1. อ่านฉลากก่อนซื้อ การอ่านฉลากถุงยางอนามัยก่อนซื้อทุกครั้ง จะทำให้ทราบว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ ถุงยางอนามัยหมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ ข้อความที่เป็นส่วนสำคัญที่ควรพิจารณาดูจากฉลาก ได้แก่ -เครื่องหมาย อย. เครื่องหมาย อย. ที่แสดงบนภาชนะบรรจุเป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ โดยสังเกตข้อความที่แสดงตามตัวอย่าง ดังนี้ -ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ที่ ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ -ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ที่ ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯวันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัยผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดตามความเหมาะสมและตาม ผลการศึกษาความคงสภาพของถุงยางอนามัย ผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยสังเกตคำว่า "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และปี ที่หมดอายุไว้บนฟอยล์ บรรจุแต่ละชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย 2. ประเภทของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้างของถุงยางอนามัย (ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางอนามัย) แบ่งออก เป็น 13 ขนาด คือ 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55 และ 56 มิลลิเมตร(มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. 51 มม. และ 52 มม. จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. การเลือกซื้อขนาดที่ใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากขนาดเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย 3. ชนิดของถุงยางอนามัย ถุง ยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ การเลือกซื้อควรสังเกตดูว่า เป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ควรสังเกตข้อความอื่น ๆ เช่น ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่นหรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ 4. การบรรจุ ควรตรวจดูลักษณะของซองย่อยหรือกล่องบรรจุว่า ชำรุดหรือฉีกขาดหรือไม่ หากพบการชำรุดหรือ ฉีกขาดไม่ควรเลือกซื้อ โดยให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าถุงยางอนามัยที่บรรจุอยู่ภายในอาจฉีกขาดหรือ เสื่อมคุณภาพแล้ว 5. การจัดวางสินค้า ซื้อจากร้านค้าที่มีการเก็บถุงยางอนามัยพ้นจากแสงแดดหรือความร้อน วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง 1. นำถุงยางอนามัยออกจากซองบรรจุอย่างระมัดระวัง โดยการฉีกมุมซองและระวังมิให้เล็บเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด และอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่ 2. บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศออก 3. รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก 4. สวมถุงยางอนามัยขณะอวัยวะเพศแข็งตัว หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบส่วนปลายให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวผู้ใช้จนสุด 5. หลังเสร็จกิจ ให้ดึงอวัยวะเพศออกทันทีและถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระ พันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องไม่ให้มือสัมผัสกับถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว 6. ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วให้ทิ้งในถังขยะหรือนำไปเผา การเลือกใช้ถุงยางอนามัยอย่างเหมาะสม ผู้ใช้จะต้องเลือกใช้ถุงยางอนามัยให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความพึงพอใจของตนเอง ทั้งขนาดและชนิดของถุงยางอนามัย ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณลักษณะพิเศษ ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีให้ท่านเลือกมากมาย หลายรูปแบบตาม ความต้องการของท่าน เช่น -สารหล่อลื่น ถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งชนิดมีสารหล่อลื่น หรือไม่มีสารหล่อลื่น หรือมีสารหล่อลื่น และสารฆ่าเชื้ออสุจิ แล้วแต่กรณี -สี ถุงยางอนามัยมีสีหลากหลายให้เลือกใช้ตั้งแต่สียางธรรมชาติ สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีชมพู ฯลฯ -กลิ่น มีให้เลือกหลายกลิ่นมากมาย เช่น กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมิ้นท์ กลิ่นกล้วยหอม รวมถึงกลิ่นทุเรียน แต่ถุงยางอนามัยที่มีการแต่งกลิ่นนั้นเป็นการแต่งกลิ่นเท่านั้นแต่มิได้มีรส ชาติของผลไม้ตามที่ท่านเห็นอยู่บนฉลากแต่อย่างใด การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบัน ยังพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ เช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมี ขอบตาแพะ ซึ่งถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิต หรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียง เพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวด ระคายเคืองมากกว่า และก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้ ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาที เพราะหากใช้เป็นระยะเวลานาน ความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลง และทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้ การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่น สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิด ที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวทำละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ฯลฯ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้น โดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภทที่มี น้ำมันพืช น้ำมันแร่เป็นตัว ละลาย เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร น้ำมันใส่ผม ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้จะไปทำปฏิกิริยากับ เนื้อยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ และมีรูรั่วได้ในเวลาอันสั้นแม้เพียงเสี้ยวนาที การเก็บรักษา ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเองเมื่อระยะเวลาผ่านไป และจะเสื่อมคุณภาพมากขึ้นหากเก็บรักษาไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดังนั้นถุงยางอนามัยที่ได้ผ่านการผลิต การควบคุมคุณภาพจนได้มาตรฐานแล้วจำเป็นจะต้องมีการเก็บรักษาให้ถูกต้อง เพื่อรักษาสภาพ คุณภาพให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ไม่เก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อน หรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์ 2. ไม่เก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์ เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน 3. ไม่เก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น กระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับหักงอ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย หรือซองบรรจุฉีกขาดทำให้มีการปนเปื้อนจากภายนอกได้ โรค เอดส์เป็นโรคที่ยังรักษาไม่ได้แต่ป้องกันได้ดังนั้นทุกคนควรตระหนักและ รู้จักป้องกันโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์ เพราะการมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวก็ติดเอดส์ได้หากไม่ใช้ถุงยางอนามัย ดังนั้นถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ใน การป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็มิใช่เป็นการป้องกันโรคเอดส์ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ การงดเที่ยวหรืองดสำส่อนทางเพศจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและป้องกันโรคเอดส์ ได้อย่างแท้จริง ที่มา : กองเผยแพร่และควบคุมโฆษณา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา |
ผู้รับเข้าและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยยี่ห้อ วันทัช ดูแคร์ และเอ็นดู ที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับระดับสากล ได้ผ่านการรองรับมาตรฐาน ISO9001 รวมถึง อย. มอก.625-2541 และ 2548 เราใส่ใจในทุกกระบวนการผลิต
ข่าวสาร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)